วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556

มะเร็งเต้านม(Breast cancer)


มะเร็งเต้านม

 มะเร็งเต้านม ถือเป็นเพชฌฆาตร้ายที่คร่าชีวิตผู้หญิงทั่วโลกเป็นอันดับต้นๆ และในประเทศไทยมีผู้หญิงป่วยเป็นโรคร้ายชนิดนี้มากเป็นอันดับสองรองจากมะเร็งปากมดลูก จากสถิติทางการแพทย์ยังบ่งชี้ด้วยว่า สาวเมืองกรุงมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมสูงกว่าสาวชนบท เพราะใช้ชีวิตรีบเร่งไม่มีเวลาดูแลสุขภาพตัวเอง, ขาดการออกกำลังกาย และเป็นโรคเครียดสะสม

ในเวทีสัมมนา "Wacoal Cares Your Breasts" เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับมะเร็งเต้านม และเคล็ดลับการดูแลตนเองให้มีสุขภาพดี ห่างไกลมะเร็งเต้านม อันเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมสร้างสรรค์ภายในงาน SAHA GROUP EXPORT & TRADE EXHIBITION ครั้งที่ 12 ที่ศูนย์ การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อปลายเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.กริช โพธิสุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญ ด้านมะเร็งเต้านม
จากภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราช พยาบาล เล่าถึงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ ผู้หญิงยุคใหม่เป็นมะเร็งเต้านมว่า ผู้หญิงยุคปัจจุบัน มีบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบมากขึ้น ทำให้ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตเต็มไปด้วยความรีบเร่ง จนไม่มีเวลาดูแลสุขภาพตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน หลายคนหันมานิยมบริโภคอาหารสำเร็จรูป และฟาสต์ฟู้ดซึ่งอุดมไปด้วยแป้งและไขมันสูง ขณะเดียวกัน ก็ไม่มีเวลาออกกำลังกาย,พักผ่อนไม่เพียงพอ,สูบบุหรี่กินเหล้า และปล่อยให้ความเครียด สะสม ปัจจัยเหล่านี้ล้วนแต่เป็นตัวการกระตุ้นให้เกิดมะเร็งเต้านม

สำหรับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆที่ทำให้เกิดมะเร็งเต้านม ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป มีอาทิ ประวัติครอบครัว ถ้ามีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม มีความเสี่ยงมากกว่าคนปกติสองเท่า, ขนาดของเต้านมก็เป็นปัจจัยสำคัญ ผู้หญิงที่มีเต้านมใหญ่มีความเสี่ยงสูงกว่าผู้หญิงเต้านมเล็ก, ผู้หญิงที่ไม่มีลูก หรือมีลูกคนแรกหลังอายุ 30 ปี มีความ เสี่ยงสูงเช่นกัน ขณะที่ผู้หญิงที่กินยาคุมกำเนิดต่อเนื่องนาน 10 ปีขึ้นไป หรือใช้ยาคุมกำเนิดตั้งแต่อายุน้อยๆ กลุ่มนี้ก็เสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านม


อยากห่างไกลมะเร็งเต้านม

ถ้าอยากห่างไกลจากมะเร็งเต้านม คุณหมอแนะนำว่า ทางที่ดีผู้หญิงทุกคนควรให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพมากขึ้น โดยเริ่มตรวจเต้านมด้วยตนเองตั้งแต่อายุ 20 ปี และเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป ควรรับการตรวจแมมโมแกรม และอัลตราซาวนด์ เพื่อตรวจหาเซลล์มะเร็ง เป็นประจำทุกปี

เนื่องจากยิ่งตรวจพบเร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสามารถรักษาให้หายเร็วเท่านั้น นอกจากนี้ ยังต้องหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ อาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที จะช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมลง 60% พยายามรับแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าสม่ำเสมอ จากการศึกษาพบว่า ผู้หญิงที่ได้รับแสงแดดอ่อนๆ สม่ำเสมอ มีแนวโน้มเป็นมะเร็งเต้านมน้อยลงถึง 40% เคล็ดลับสำคัญที่ช่วยให้ปลอดภัยจากโรคร้าย ยังรวมถึงการงดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอนหลับให้เพียงพอ และมองโลกในแง่ดี


ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับมะเร็งเต้านม

มะเร็งเต้านมเป็นโรคที่เกิดจากการที่เซลล์มะเร็งเข้าไปอยู่ในเนื้อเยื่อเต้านม เต้านมประกอบด้วยส่วนของต่อมน้ำนมและท่อน้ำนม เต้านมแต่ละข้างประกอบด้วยต่อมน้ำนม 15-20 lobes ซึ่งแต่ละ lobes จะแตกแขนงเล็กลงไปอีกเป็น lobuselส่วนปลายของ lobules จะมีลักษณะเป็นถุง (Bulbs) ติดอยู่กับท่อน้ำนมไปเปิดบริเวณหัวนมซึ่งสามารถผลิตน้ำนมได้ โดยท่อน้ำนมจะเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่าง Lobes, Lobules และ Bulbs

ภายในเต้านมแต่ละข้างยังมีหลอดเลือดและหลอดน้ำเหลือง หลอดน้ำเหลืองจะนำสารน้ำที่ไม่มีสี เรียกว่าน้ำเหลืองไปยังอวัยวะที่เรียกว่า ต่อมน้ำเหลือง ต่อมน้ำเหลืองมีลักษณะเป็นรูปถั่วขนาดเล็ก พบได้ทั่วร่างกายมีหน้าที่ในการกรองสารต่าง ๆ จากน้ำเหลืองและช่วยในการต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ กลุ่มของต่อมน้ำเหลืองที่พบในบริเวณใกล้ ๆ กับเต้านมคือ บริเวณรักแร้, บริเวณเหนือกระดูกไหปลาร้าและบริเวณหน้าอก

ชนิดของมะเร็งเต้านมที่พบบ่อยที่สุดคือ มะเร็งท่อน้ำนม ซึ่งเกิดจากเซลล์ในท่อน้ำนม ส่วนมะเร็งที่เกิดในต่อมน้ำนม (Lobes and Lobules) เรียกว่ามะเร็งต่อมน้ำนม ซึ่งมักจะพบในเต้านมทั้งสองข้างได้มากกว่ามะเร็งชนิดอื่น มะเร็งเต้านมอักเสบ (Inflammatory breast cancer) เป็นระเร็งเต้านมชนิดที่พบได้ไม่บ่อย ลักษณะอาการจะตรวจพบว่าบริเวณเต้านมมีลักษณะของการอับเสบ คือ บวม แดงและร้อน


การรักษามะเร็งเต้านม


มีการรักษาหลักอยู่ 4 วิธี ประกอบด้วย

1. การผ่าตัด

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะได้รับการผ่าตัดเพื่อนำเนื้องอกออกจากหน้าอกร่วมกับต่อมน้ำเหลืองบางส่วนเพื่อดูว่ามีเซลล์มะเร็งอยู่หรือไม่การผ่าตัดหลักๆ มีอยู่ 4 วิธี ได้แก่

1.1 การผ่าตัดแบบสงวนเต้านม เป็นการผ่าตัดที่นำเอาเนื้องอกออกซึ่งประกอบไปด้วยวิธีต่างๆ

1.2 การผ่าตัดเอาเต้านมออกทั้งข้าง  เป็นการผ่าตัดที่นำเอาเต้านมข้างที่มีเนื้องอกออกทั้งหมดร่วมกับต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้เพื่อการตรวจวินิจฉัย

1.3  การผ่าตัดเอาเต้านมออกทั้งข้างแบบปรับปรุง (Modified radical mastectomy) เป็นการผ่าตัดที่นำเอาเต้านมข้างที่มีเนื้องอกออกทั้งหมดร่วมกับต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้, ต่อมน้ำเหลืองใต้ผนังหน้าอกและกล้ามเนื้อผนังหน้าอก

1.4 การผ่าตัดเต้านมแบบกว้าง (Radical mastectomy) เป็นการผ่าตัดที่นำเอาเต้านมข้างที่มีเนื้องอก, กล้ามเนื้อใต้หน้าอก และต่อมน้ำเหลืองทั้งหมดที่รักแร้ออก

2. การฉายแสงหรือการฉายรังสี

เป็นการใช้รังสีพลังงานสูงเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งหรือป้องกันเซลล์มะเร็งเติบโตแบ่งได้เป็น 2 ชนิด

2.1 การฉายแสงภายนอก  เป็นการใช้เครื่องฉายรังสีส่งรังสีไปยังบริเวณก้อนเนื้องอก ผนังหน้าอก หรือต่อมน้ำเหลืองมักใช้ภายหลังได้รับการผ่าตัด และได้ยาเคมีบำบัดแล้ว ในผู้ป่วยที่มีก้อนมะเร็งขนาดใหญ่กว่า 5 ซม. มีการลุกลามที่ต่อมน้ำเหลืองหรือผ่าตัดก้อนมะเร็งได้ขอบเขตไม่เพียงพอ และกรณีผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดแบบสงวนเต้านม

2.2 การฉายแสงภายในหรือการฝังแร่  เป็นการใช้สารกัมมันตรังสีติดกับอุปกรณ์บางชนิด เช่น เข็ม, ลวด จากนั้นนำไปวางไว้ในบริเวณที่เป็นเนื้องอกหรือบริเวณข้างเคียง

3. การใช้ยาเคมีบำบัด

เป็นการใช้ยาเพื่อหยุดการเจริญเติบโตของเนื้องอกโดยการกำจัดหรือหยุดเนื้องอกจากการแบ่งตัววิธีการให้ยามีทั้งชนิดรับประทานและชนิดฉีดเข้าเส้นเลือดหรือฉีดเข้าบริเวณกล้ามเนื้อ วิธีการให้ยาขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของโรค

4. การรักษาด้วยฮอร์โมน

เป็นการรักษาโดยการนำเอาฮอร์โมนหรือหยุดการทำงานของฮอร์โมนเป็นผลทำให้เซลล์มะเร็งหยุดการเจริญเติบโต ถ้าตรวจพบว่าเซลล์มะเร็งมีตัวรับการตอบสนองต่อฮอร์โมน (receptors) อาจเลือกวิธีการรักษาเพื่อลดการทำงานของฮอร์โมนได้หลายวิธีดังนี้  การใช้ยาการผ่าตัดและการฉายรังสี เช่น มะเร็งเต้านมซึ่งตอบสนองต่อฮอร์โมนเอสโตรเจนและเอสโตรเจนสร้างมาจากรังไข่ อาจใช้วิธีการผ่าตัดรังไข่ออกเพื่อหยุดการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือการรักษาด้วยยา Tamoxifen ซึ่งใช้รักษา
มะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้น และระยะลุกลาม แต่มีข้อพึงระวังเนื่องจากการกินยา Tamoxifen สามารถออกฤทธิ์ได้กับเซลล์ทั่วร่างกายทำให้อาจเพิ่มโอกาสในการเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้หรือการรักษาด้วยยา Aromatase Inhibitor ซึ่งให้ในผู้หญิงวัยหมดระดูที่เป็นมะเร็งชนิดที่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยฮอร์โมน โดยยาชนิดนี้จะไปยับยั้งการเปลี่ยนฮอร์โมนแอนโดนเจนไปเป็นเอสโตรเจน ซึ่งยาชนิดนี้สามารถใช้ในระยะต้นของโรคมะเร็งเต้านมโดยเป็นการรักษาเสริมแทนยา Tamoxifen หรือหลังจากสองปี หรือมากกว่าของการใช้ยา Tamoxifen


ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก


และข้อมูลเชิงวิชาการจากสาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยาคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สนใจสั่งสินค้าหรือสอบถามข้อมูลสินค้าได้ที่่
คุณนิชาภา โทร.098-249-6546

การ์ซิเนีย BIM100 ชนิดแคปซูล

สนใจสั่งสินค้าหรือสอบถามข้อมูลได้ที่คุณนิชาภา 

โทร.098-249-6546


ศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย APCO บ.เอเชียนไลฟ์ ผลิตภัณฑ์BIM100 


ปฏิบัติการสร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุล Operation Bim มิติใหม่ในการดูแลสุขภาพครบวงจร
ประกอบด้วย นักวิทยาศาสตร์ทำการวิจัย 5 ท่าน โดยได้นำเสนอในรายการ BIM100 (บิมร้อย) 
1. ภญ.รศ.ดร.อำไพ ปั้นทอง                      2. รศ.ดร.ศิริวรรณ  องค์ไชย
3. ภญ.รศ.ดร.เสาวลักษณ์ พงษ์ไพจิตร      4. รศ.ดร.วิลาวัลย์  มหาบุษราคัม 
5. ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา 

ความสมดุลระหว่าง Interleukin I (IL-1) และ Interleukin II (IL-2) ก่อให้เกิดความสมดุลของภูมิคุ้มกัน

IL-1 เป็นโปรตีนที่เม็ดเลือดขาวได้สร้างขึ้นประเภทหนึ่ง ที่ทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันเคลื่อนตัวไปยังบริเวณที่ติดเชื้อต่างๆเช่น แบคทีเรีย เชื้อรา ไวรัส กระบวนการป้องกันตนเองจะถูกกระตุ้น แต่ถ้า IL-1 มีมากเกินไป จะทำให้เกิดการแพ้ภูมิตนเอง เช่น SLE ภูมิแพ้ กระเพาะ-ลำไส้อักเสบ สิวอักเสบ สะเก็ดเงิน ตับอักเสบ เบาหวาน ไตวาย สันนิบาต ไทรอยด์เป็นพิษ ความดันสูง ข้อเข่าเสื่อม รูมาตอยด์ ฯลฯ
IL-2 เป็นโปรตีนที่เม็ดเลือดขาวสร้างขึ้นชนิดหนึ่ง เมื่อร่างกายได้รับเชื้อโรคจะกระตุ้นการเจริญเติบโตและการเพิ่มจำนวนของ เซลล์ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน  ผลก็คือเพิ่มความสามารถในการป้องกันเชื้อรา ไวรัส แบคทีเรีย และมะเร็ง ของร่างกายได้ 
บริษัท เอเชียนไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ ศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย ทำการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันที่สมดุลแก่ร่างกาย เป็นการดูแลสุขภาพแนวใหม่ และความสำคัญจะเพิ่มทวีคูณมากขึ้น 

Operation Bim และ BIM100 (บิมวันฮันเดรต, บิมร้อย) 

สร้างภูมิคุ้มกันสมดุลให้ทุกคนมีสุขภาพดีขึ้นได้โดย

1.ลดระดับ Interleukin-1 ที่มากเกินไป ส่งผลให้การอักเสบในร่างกายและการแพ้ภูมิตนเองลดลง

2.เพิ่มระดับ Interleukin-2 ที่น้อยเกินไป ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายเพิ่มขึ้นในระดับที่เหมาะสม 

BIM100ผลงานวิจัย Operationbim ที่คณะนักวิทย์ฯไทย ได้พัฒนาวิจัยขึ้นมี 2 ชนิด  

1.Garcisnia 

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สกัดจากธรรมชาติ คุณภาพดีมาก สกัดจากผลมังคุด ใบบัวบก โปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง งาดำ และ ฝรั่ง ขึ้นทะเบียน อย. เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มีการทดสอบให้อาสาสมัครสุขภาพดี แข็งแรง อายุระหว่าง 25-30 ปี เป็น หญิง 3 คน ชาย 4 คน ทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 3 ครั้งก่อนอาหาร เป็นเวลา 15  วัน จากนั้นวัดระดับ อินเทอร์ลิวคินวัน (IL-1) ในเม็ดเลือดขาวหลังจากการถูกกระตุ้นให้เพิ่มสูงขึ้น ปรากฏว่าระดับลดลงอย่างเร็วในสามวันแรก และลดน้อยลงอีกในช่วงวันที่ 4-8 หลังจากนั้นไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง ผลิตภัณฑ์ BIM100 บิม100 ผลงานวิจัยOperation Bim มีประสิทธิภาพปรับและเสริมภูมิคุ้มกันให้สมดุล จึงทำให้ผู้บริโภคที่มีปัญหาสุขภาพสามารถใช้ดูแลและเสริมสุขภาพได้อย่างดี ยิ่ง และผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงปกติ จะมีหน้าตา ผิวพรรณที่สดใส ภูมิคุ้มกันแข็งแรงมากขึ้น แต่อย่างไรก็ดี ผลิตภัณฑ์ BIM100 เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อย.มีข้อห้ามการกล่าวอ้างสรรพคุณว่าช่วย บรรเทา ต้าน รักษา ลด หรือ แก้ไขอาการผิดปกติต่างๆของร่างกายได้ แต่จากผลงานวิจัยOperation Bim ทำให้สามารถพูดได้ว่า ผลิตภัณฑ์ BIM 100 เป็นอาหารเสริมที่ทำให้สุขภาพ ร่างกายแข็งแรงจากการมีภูมิคุ้มกันที่สมดุล ร่างกายสามารถป้องกัน และ ต่อสู้ อาการผิดปกติมากมายได้ ทีมงานวิจัยเชื่อว่าการค้นพบนี้เป็นการเผยถึงแนวทางใหม่ในการดูแลสุขภาพครบ วงจร อย่างถาวรที่จะทำให้ร่างกายต่อสู้โรคภัยทั้งหลายมากมายได้ 

2.น้ำมังคุดสกัดเข้มข้น บิม BIM 

ผลงานวิจัย Operation Bim อีกเช่นกัน ที่พัฒนาและผลิตให้มีรสชาติที่ดีบริสุทธิ์มาก โดยไม่ใช้สารกันบูด ไม่เติมน้ำตาล ไม่ใส่สีสังเคราะห์ ไม่แต่งกลิ่นด้วยสารเคมี ไม่ผสมเปลือกมังคุด จึงไม่ปนเปื้อนยาฆ่าแมลง และ ศัตรูพืช ไม่มีแทนนินในปริมาณมากเกินไปจนเป็นพิษต่อตับ  ทว่ามีปริมาณระดับมาตรฐาน GM-1 แซนโทนส์ที่ดีที่สุดในมังคุด โดยคณะนักวิจัยค้นพบว่าเป็นสารธรรมชาติในผลมังคุด ที่มีคุณภาพสูงสุดในการเสริมระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุล อีกทั้งยังมีรสชาติอร่อย ทำให้รู้สึกสดชื่น พร้อมกับมีสุขภาพสุดยอด เพียงดื่มน้ำมังคุดสกัดเข้มข้นนี้ วันละ หนึ่ง ขวด สามารถเสริมระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุลได้เทียบเท่าสารสกัด GM-1 (จีเอ็ม-วัน) ในเนื้อมังคุด 45 ผล

การ์ซิเนียน้ำมังคุดและชนิดแคปซูล